สรุปหนังสือ 3 เล่ม



สมุนไพรไทยรักษาโรค

ต้นไม้กับวัฒนธรรมไทยนั้นเป็นเรื่องราวที่มีความลึกซึ้งหากได้ลองลงมือศึกษาดูแล้วจะรู้ได้เลยว่ามีหลายแง่คิดด้านวรรณกรรม ด้านวรรณคดี ด้านสิ่งแวดล้อม เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค และอาหารทั้งหมดนี้เป็นวัฒนธรรมที่แต่เดิมคนไทยในอดีตถูกหล่อหลอมขึ้นเกิดเป็นภูมิปัญญาและนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายต่อเนื่องจนถึงในปัจจุบัน พืชต่างๆที่นำมาใช้รักษาโรคหรือประกอบอาหารทำเครื่องนุ่งห่มนั้นล้วนแล้วแต่เอามาจากป่า เขาที่มีอยู่ในผืนป่าทั่วประเทศของเราอย่างหลากหลายด้วยเหตุผลนี้จึงทำให้มีคนสนใจที่จะศึกษาจนเกิดเป็นภูมิปัญญาไทยขึ้นมา
การนำพรรณพืชมาใช้เป็นยารักษาโรคเป็นการสังเกตุของคนผู้ที่ให้ความสนใจว่าเมื่อใช้พืชชนิดนี้แบบนี้แล้วสรรพคุณของตัวพืชเองนั้นว่าสามารถนำไปทำอะไรได้บ้าง เมื่อเกิดคำถามจึงมีการศึกษาค้นหาว่าพืชชนิดต่างๆนั้นสามารถนำไปทำอะไรได้ 
ในที่นี้เราจะหยิบเอาพืชผักใกล้ตัวที่มีอยู่ริมรั้วมาบอกสรรพคุณที่ใช้เป็นยารักษาโรคและวิธีการใช้อย่างถูกวิธีและในปริมาณที่ถูกต้องการรักษาจึงจะมีประสิทธิภาพการรักษาที่สมบูรณ์















พืชชนิดที่ 1 ยาดีจากก้นครัว
มะนาว

ชื่อพื้นเมือง:          ส้มมะนาว (ทั่วไป)
                             มะลิว (เชียงใหม่)
                             ลีมานีปีห์ (ภาคใต้)
                             หมากฟ้า (ภาคเหนือ)
                             โกรยชะม้า (เขมร-สุรินทร์)
                             ประนอเกล,มะนอเกละ (กระเหรี่ยง, กาญจนบุรี)
ชื่อสามัญ:             Lime, Common Lime
ชื่อวิทยาศาสตร์:   Citrus aurantifolia Swing
วงศ์:                      RUTACEAE
ลักษณะทางพันธุศาสตร์
     มะนาวเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง มีหนามตามลำต้น
  • ใบ:              เป็นใบประกอบ รูปไข่หรือวงรีปลายใบมนหยักเว้าๆ โคนใบกลม เนื้อใบมัน
                       และเหนียว มีจุดน้ำมันกระจายอยู่ทั่วไป ก้านใบมีครีบแคบ ๆ อยู่ใกล้ ๆ โคนใบ
  • ดอก:           เป็นดอกเดี่ยวหรือเป็นช่อเล็ก ๆ กลีบดอกสีขาว กลิ่นหอม ร่วงง่ายผลกลมฉ่ำ
                       เปลืองบาง มีต่อมน้ำมันที่เปลือกผล มีกลิ่นหอม
  • ผล:             สุกสีเหลืองอมเขียว ภายในมีน้ำรสเปรี้ยว มีเกล็ดเป็นรูปไข่สีขาวนวลจำนวนมาก
  • การปลูก:     มะนาวขึ้นได้ดีในดินทุกชนิด โดยเฉพาะดินร่วนซุย และมีการระบายน้ำดี ควรปลูก
                       ในฤดูฝน วิธีปลูกโดยใช้กิ่งตอนปลูกในหลุม ใช้ปุ๋ยหมักรองกันหลุม นำกิ่งตอน
                       ลงปลูก กลบดินให้แน่นพอปลูกในหลุมควรปักไม้ไว้ยึดกันโยกช่วงที่ปลูกใหม่ ๆ
                       ต้องรดน้ำทุกวัน และควรบังแดดจนกว่าต้นจะแข็งแรง
ประโยชน์ทางยา
     ส่วนที่ใช้เป็นยา:         น้ำมะนาว เปลือกผล เมล็ด ราก ใบ ดอก ผล
     ช่วงเวลาที่เก็บยา:      ช่วงผลสุก
     รสและสรรพคุณในตำราไทย
  • น้ำมะนาว:              มีรสเปรี้ยว สรรพคุณแก้ไอ ขับเสมหะ ช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอ บำรุงเสียง
                                  ขับระดู แก้เล็บขบ ขับลม แก้ริดสีดวงทวาร ป้องกันโรคลักปิดลักเปิด รักษา
                                  อาการบวมฟกช้ำ ทำให้ผิวนุ่ม และแก้ซาง
  • เปลือกมะนาว:       ใช้รักษาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่น และจุกเสียด
  • เมล็ด:                    รสขมหอม แก้ซาง ขับเสมหะ แก้หายใจขัด แก้ไข้ แก้พิษไข้ร้อน บำรุงน้ำดี
                                  และแก้พิษฝีภายใน
  • ราก:                       รสเย็นจืด แก้ไข้กลับไข้ซ้ำ ถอนพิษผิดสำแดง แก้ฝีมีหัว และแก้ปวดฝี
  • ใบ:                         รสปร่า สรรพคุณฟอกโลหิตระดู ฟอกเสมหะ แก้ฝีตะมอย ฝี ฟกช้ำ แก้ไข้
                                  แก้กลาก แก้กองลมทุกชนิด แก้ไอ แก้หืด แก้ริดสีดววง
  • ดอก:                      แก้ท้องอืดเฟ้อ ปวดท้อง แก้คลื่นไส้อาเจียน แก้ไอ
  • ผล:                        แก้ท้องอืด แก้สิวฝ้า แก้ส้นเท้าแตก รักษาแผล และถอนพิษจากแมลง
วิธีใช้
  1. ขับเสมหะ บรรเทาอาการเจ็บคอ คั้นเอาน้ำมะนาวเข้มข้นใส่เกลือเล็กน้อย จิบบ่อยๆ
  2. แก้ไอ น้ำมะนาว ผสมน้ำผึ้ง จิบบ่อยๆ
  3. บรรเทาอาการฟกช้ำภายนอก ให้นำน้ำมะนาว ผสมดินสอพอง พาหรือฟอกบริเวณที่ฟกช้ำ
  4. แก้ท้องอืด ใช้เปลือกมะนาวสด ประมาณครึ่งผล คลึงหรือทุบพอให้น้ำมันออกมา ชงน้ำร้อนดื่ม
  5. แก้ซาง มีไข้ ขับเสมหะ ใช้เมล็ดที่นำไปคั่ว แล้วนำไปบดเป็นผง หรือนำไปต้มน้ำดื่ม
  6. กัดฟอกเสมหะ ฟอกโลหิตระดู ใช้ใบ 108 ใบ ต้มกับน้ำ แล้วนำมาดื่ม
  7. บำรุงกำลัง ทำให้สดชื่นเวลาเป็นไข้ เอาน้ำมะนาว น้ำตาล และน้ำข้าว มาผสมกันดื่ม
  8. แก้โรคลักปิดลักเปิด นำน้ำมะนาว น้ำตาล และน้ำผสมกัน รับประทานวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น
  9. รักษาฝีมีหัว ใช้รากฝนกับสุราให้ข้น ทาฝี แก้ปวด ทาวันละ 2-3 ครั้ง
  10. แก้น้ำร้อนลวก ใช้มะนาวผ่าซีก ถูบริเวณแผลไปมาให้ทั่ว ๆ วันละ 2-3 ครั้ง 4-5วัน จะหายเป็นปกติ
  11. รักษาผิวหน้าให้สวยเสมอก่อนเข้านอนทุกคืน บีบมะนาวใส่ดินสอพองผสมให้เข้ากันทาบางๆทั่วใบหน้า
  12. แก้ปวดศรีษะ ใช้มะนาวฝานเป็นแว่น เอาปูนแดงทาด้านนึงให้ทั่ว นำมาปิดขมับที่ปวด ปล่อยทิ้งไว้ให้ยาหลุดออกมาเอง















พืชชนิดที่ 2 ว่านสารพัดประโยชน์

ว่านหางจระเข้

ชื่อพื้นเมือง:     ว่านไฟไหม้ (ภาคเหนือ), หางตะเข้ (กลาง)
ชื่ออังกฤษ:      Aloe
ชื่อวิทยาศาสตร์:      Aloe barbadensis Mill.
ชื่อพ้อง:           A. Vera Linn.
วงศ์:                 Liliaceae
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
           พืชล้มลุกอายุหลายปี ลำต้นสั้น ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเป็นกระจุกที่ปลายลำต้น รูปร่างยาว
ปลายใบแหลม ขอบใบมีหนามแหลม ผิวใบมีจุดด่างขาว ใบหนาอวบน้ำ ภายในมีวุ้นใส มีน้ำเมือก
เหนียว ๆ ใต้ผิวสีเข้มมีน้ำยางสีเหลือง ดอกออกเป็นช่อออกจากกลางต้น ดอกย่อยเป็นหลอด
ห้อยลง มีสีส้ม หรือสีแดงอมส้ม บานจากส่วนล่างขึ้นบน ผลเป็นผลแห้งแตกได้

ประโยชน์ทางยา
     ส่วนที่นำมาใช้ประโยชน์: วุ้นในใบ ยางสีเหลืองจากใบ

  • วุ้นสดในใบหรือเมือกจากใบ ใช้ทารักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก แผลไหม้เกรียมจากแสงแดด และแผลไฟไหม้ที่เกิดจากการฉายรังสี
  • วุ้นในใบ ใช้รักษาแผลในกระเพาะอาหาร
  • วุ้นในใบ มีฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบ เช่น โรคเหงือกอักเสบ
  • วุ้นในใบ ใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางค์หลายชนิด เช่น ครีมบำรุงผิว แชมพู ครีมนวดผม โฟมล้างหน้า เพื่อบำรุงให้ผิวนุ่ม ไม่หยาบกร้าน
  • ยางสีเหลืองบริเวณเปลือกใบ ใช้ในการเตรียมยาดำ ซึ่งใช้เป็นยาระบาย ยาถ่าย

วิธีใช้

  1. เลือกใช้ใบล่างสุดของต้น ล้างให้สะอาด ปอกเปลือกสีเขียวออก แล้วล้างน้ำยางสีเหลืองออกให้หมดก่อน แล้วจึงขูดเอาวุ้นใส หรือฝานเป็นแผ่นบาง ๆ มาพอกปิดบริเวณแผล พันด้วยผ้าพันแผลที่สะอาด จะทำให้รู้สึกเย็น หายปวดแสบปวดร้อน เปลี่ยนวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น จนกว่าแผลจะหาย
  2. สาร Aloe inn ซึ่งเป็นสารสำคัญจากยางของว่านหางจระเข้ สามารถดูดแสงอัลตร้าไวโอเลตไว้ได้ จึงใช้น้ำยางผสมในครีมกันแดด เพื่อป้องกันไม่ให้ผิวหนังไหม้
  3. ตัดใบตรงโคนที่ติดกับลำต้น นำมาผูกห้อยทิ้งไว้ เพื่อให้ยางสีเหลืองไหลลงบนภาชนะที่รองรับ แล้วนำไปเคี่ยวให้ข้น ตั้งทิ้งไว้ให้เย็น จะเกาะเป็นก้อนแข็งสีดำ จึงเรียกว่ายาดำ

ข้อควรระวัง
  1. การใช้ว่านหางจระเข้เป็นเวลานาน ๆ ติดต่อกัน ทั้งโดยการรับประทาน หรือการใช้ภายนอก อาจเกิดอาการแพ้เป็นผื่นคันได้ จึงไม่ควรใช้ติดต่อกันนาน ๆ
  2. การนำเมือกหรือวุ้นจากใบมาใช้ต้องระมัดระวังไม่ให้ยางปนมาด้วยเพราะอาจทำให้เกิดการระคายเคืองได้
  3. วุ้นจากว่านหางจระเข้เป็นสารที่ไม่คงตัวสลายได้ง่ายและรวดเร็ว จึงควรใช้สด ๆ หรือแช่ไว้ในตู้เย็น และควรจะเก็บเป็นใบไม่ควรขูดวุ้นออกมาเก็บไว้


                            
                           




พืชชนิดที่ 3 คอสเมติคจากธรรมชาติ
บานเย็น

ชื่อพื้นเมือง: จันยาม จำยาม ตามยาม (ภาคเหนือ)
ชื่อสามัญ: Marvel of Peru, Four o'clock
ชื่อวิทยาศาสตร์: Mirabilis jalapa L.
วงศ์: NYCTAGINACEAE

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์:
     ไม้เนื้ออ่อน อายุหลายปี สูง 0.5-1.5 เมตร มีหัวใต้ดิน แตกกิ่งก้านจำนวนมาก ทรงพุ่มแผ่กว้าง
  • ใบเรียงตรงข้ามสลับตั้งฉาก ใบเดี่ยว รูปหัวใจ กว้าง 2-5 ซม. ยาว 5-15 ซม. โคนใบตัดตรง
    กว้างกลม ปลายใบแหลม ขอบใบเรียบ
  • ดอก ดอกช่อออกที่ปลายกิ่ง มีดอกย่อย 4-5 ดอก แต่ละดอกมีริ้วประดับยาว 1 ซม. มีโคนเชื่อมติดกัน กลีบดอกรูปกรวย ยาว 3-5 ซม.ปลายแยกเป็น 5 กลีบ เมื่อดอกบานเส้นผ่านศูนย์กลาง 3-5 ซม. มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ดอกบานในตอนเย็น กลีบดอกมีหลายสี เช่น ขาว เหลือง ชมพู บานเย็น หรือมีสองสีในดอกเดียวกัน
  • ผลรูปทรงกลม ผิวขรุขระหยาบๆ สีดำ มี 1 เมล็ด
ประโยชน์ทางยา

  • ใช้แป้งในเมล็ดดอกบานเย็นเป็นเครื่องสำอาง บำรุงผิว แก้สิว ฝ้า
  • ใช้ผงจากรากผสมกับแป้งข้าวเจ้า และผงไม้จันทน์ มาทำเป็นเครื่องสำอาง
  • ดอกนั้นมีกลิ่นฉุน สามารถใช้ไล่ยุง และแมลง
วิธีใช้

  • แกะเปลือกดำของเมล็ดออกไป เอาแต่ผงแป้งขาวข้างในเท่านั้น บดขยี้เบา ๆ ก็จะแตกเป็นผงละเอียดใส่ตลับไว้ใช้สำหรับทาหน้า หรือจะผสมน้ำสะอาดนิดหน่อยก็ได้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น