สมุนไพรไทยรักษาโรค
ต้นไม้กับวัฒนธรรมไทยนั้นเป็นเรื่องราวที่มีความลึกซึ้งหากได้ลองลงมือศึกษาดูแล้วจะรู้ได้เลยว่ามีหลายแง่คิดด้านวรรณกรรม ด้านวรรณคดี ด้านสิ่งแวดล้อม เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค และอาหารทั้งหมดนี้เป็นวัฒนธรรมที่แต่เดิมคนไทยในอดีตถูกหล่อหลอมขึ้นเกิดเป็นภูมิปัญญาและนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายต่อเนื่องจนถึงในปัจจุบัน พืชต่างๆที่นำมาใช้รักษาโรคหรือประกอบอาหารทำเครื่องนุ่งห่มนั้นล้วนแล้วแต่เอามาจากป่า เขาที่มีอยู่ในผืนป่าทั่วประเทศของเราอย่างหลากหลายด้วยเหตุผลนี้จึงทำให้มีคนสนใจที่จะศึกษาจนเกิดเป็นภูมิปัญญาไทยขึ้นมา
การนำพรรณพืชมาใช้เป็นยารักษาโรคเป็นการสังเกตุของคนผู้ที่ให้ความสนใจว่าเมื่อใช้พืชชนิดนี้แบบนี้แล้วสรรพคุณของตัวพืชเองนั้นว่าสามารถนำไปทำอะไรได้บ้าง เมื่อเกิดคำถามจึงมีการศึกษาค้นหาว่าพืชชนิดต่างๆนั้นสามารถนำไปทำอะไรได้
ในที่นี้เราจะหยิบเอาพืชผักใกล้ตัวที่มีอยู่ริมรั้วมาบอกสรรพคุณที่ใช้เป็นยารักษาโรคและวิธีการใช้อย่างถูกวิธีและในปริมาณที่ถูกต้องการรักษาจึงจะมีประสิทธิภาพการรักษาที่สมบูรณ์
.jpg&container=blogger&gadget=a&rewriteMime=image%2F*)
.jpg)
.jpg&container=blogger&gadget=a&rewriteMime=image%2F*)
.jpg&container=blogger&gadget=a&rewriteMime=image%2F*)
.jpg&container=blogger&gadget=a&rewriteMime=image%2F*)
พืชชนิดที่ 1 ยาดีจากก้นครัว
มะนาว
ชื่อพื้นเมือง: ส้มมะนาว (ทั่วไป)
มะลิว (เชียงใหม่)
ลีมานีปีห์ (ภาคใต้)
หมากฟ้า (ภาคเหนือ)
โกรยชะม้า (เขมร-สุรินทร์)
ประนอเกล,มะนอเกละ (กระเหรี่ยง, กาญจนบุรี)
ชื่อสามัญ: Lime, Common Lime
ชื่อวิทยาศาสตร์: Citrus aurantifolia Swing
วงศ์: RUTACEAE
ลักษณะทางพันธุศาสตร์
มะนาวเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง มีหนามตามลำต้น
- ใบ: เป็นใบประกอบ รูปไข่หรือวงรีปลายใบมนหยักเว้าๆ โคนใบกลม เนื้อใบมัน
และเหนียว มีจุดน้ำมันกระจายอยู่ทั่วไป ก้านใบมีครีบแคบ ๆ อยู่ใกล้ ๆ โคนใบ - ดอก: เป็นดอกเดี่ยวหรือเป็นช่อเล็ก ๆ กลีบดอกสีขาว กลิ่นหอม ร่วงง่ายผลกลมฉ่ำ
เปลืองบาง มีต่อมน้ำมันที่เปลือกผล มีกลิ่นหอม - ผล: สุกสีเหลืองอมเขียว ภายในมีน้ำรสเปรี้ยว มีเกล็ดเป็นรูปไข่สีขาวนวลจำนวนมาก
- การปลูก: มะนาวขึ้นได้ดีในดินทุกชนิด โดยเฉพาะดินร่วนซุย และมีการระบายน้ำดี ควรปลูก
ในฤดูฝน วิธีปลูกโดยใช้กิ่งตอนปลูกในหลุม ใช้ปุ๋ยหมักรองกันหลุม นำกิ่งตอน
ลงปลูก กลบดินให้แน่นพอปลูกในหลุมควรปักไม้ไว้ยึดกันโยกช่วงที่ปลูกใหม่ ๆ
ต้องรดน้ำทุกวัน และควรบังแดดจนกว่าต้นจะแข็งแรง
ส่วนที่ใช้เป็นยา: น้ำมะนาว เปลือกผล เมล็ด ราก ใบ ดอก ผล
ช่วงเวลาที่เก็บยา: ช่วงผลสุก
รสและสรรพคุณในตำราไทย
- น้ำมะนาว: มีรสเปรี้ยว สรรพคุณแก้ไอ ขับเสมหะ ช่วยบรรเทาอาการเจ็บคอ บำรุงเสียง
ขับระดู แก้เล็บขบ ขับลม แก้ริดสีดวงทวาร ป้องกันโรคลักปิดลักเปิด รักษา
อาการบวมฟกช้ำ ทำให้ผิวนุ่ม และแก้ซาง - เปลือกมะนาว: ใช้รักษาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่น และจุกเสียด
- เมล็ด: รสขมหอม แก้ซาง ขับเสมหะ แก้หายใจขัด แก้ไข้ แก้พิษไข้ร้อน บำรุงน้ำดี
และแก้พิษฝีภายใน - ราก: รสเย็นจืด แก้ไข้กลับไข้ซ้ำ ถอนพิษผิดสำแดง แก้ฝีมีหัว และแก้ปวดฝี
- ใบ: รสปร่า สรรพคุณฟอกโลหิตระดู ฟอกเสมหะ แก้ฝีตะมอย ฝี ฟกช้ำ แก้ไข้
แก้กลาก แก้กองลมทุกชนิด แก้ไอ แก้หืด แก้ริดสีดววง - ดอก: แก้ท้องอืดเฟ้อ ปวดท้อง แก้คลื่นไส้อาเจียน แก้ไอ
- ผล: แก้ท้องอืด แก้สิวฝ้า แก้ส้นเท้าแตก รักษาแผล และถอนพิษจากแมลง
- ขับเสมหะ บรรเทาอาการเจ็บคอ คั้นเอาน้ำมะนาวเข้มข้นใส่เกลือเล็กน้อย จิบบ่อยๆ
- แก้ไอ น้ำมะนาว ผสมน้ำผึ้ง จิบบ่อยๆ
- บรรเทาอาการฟกช้ำภายนอก ให้นำน้ำมะนาว ผสมดินสอพอง พาหรือฟอกบริเวณที่ฟกช้ำ
- แก้ท้องอืด ใช้เปลือกมะนาวสด ประมาณครึ่งผล คลึงหรือทุบพอให้น้ำมันออกมา ชงน้ำร้อนดื่ม
- แก้ซาง มีไข้ ขับเสมหะ ใช้เมล็ดที่นำไปคั่ว แล้วนำไปบดเป็นผง หรือนำไปต้มน้ำดื่ม
- กัดฟอกเสมหะ ฟอกโลหิตระดู ใช้ใบ 108 ใบ ต้มกับน้ำ แล้วนำมาดื่ม
- บำรุงกำลัง ทำให้สดชื่นเวลาเป็นไข้ เอาน้ำมะนาว น้ำตาล และน้ำข้าว มาผสมกันดื่ม
- แก้โรคลักปิดลักเปิด นำน้ำมะนาว น้ำตาล และน้ำผสมกัน รับประทานวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น
- รักษาฝีมีหัว ใช้รากฝนกับสุราให้ข้น ทาฝี แก้ปวด ทาวันละ 2-3 ครั้ง
- แก้น้ำร้อนลวก ใช้มะนาวผ่าซีก ถูบริเวณแผลไปมาให้ทั่ว ๆ วันละ 2-3 ครั้ง 4-5วัน จะหายเป็นปกติ
- รักษาผิวหน้าให้สวยเสมอก่อนเข้านอนทุกคืน บีบมะนาวใส่ดินสอพองผสมให้เข้ากันทาบางๆทั่วใบหน้า
- แก้ปวดศรีษะ ใช้มะนาวฝานเป็นแว่น เอาปูนแดงทาด้านนึงให้ทั่ว นำมาปิดขมับที่ปวด ปล่อยทิ้งไว้ให้ยาหลุดออกมาเอง
.jpg&container=blogger&gadget=a&rewriteMime=image%2F*)
.jpg&container=blogger&gadget=a&rewriteMime=image%2F*)
พืชชนิดที่ 2 ว่านสารพัดประโยชน์
ว่านหางจระเข้
ชื่ออังกฤษ: Aloe
ชื่อวิทยาศาสตร์: Aloe barbadensis Mill.
ชื่อพ้อง: A. Vera Linn.
วงศ์: Liliaceae
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
พืชล้มลุกอายุหลายปี ลำต้นสั้น ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเป็นกระจุกที่ปลายลำต้น รูปร่างยาว
ปลายใบแหลม ขอบใบมีหนามแหลม ผิวใบมีจุดด่างขาว ใบหนาอวบน้ำ ภายในมีวุ้นใส มีน้ำเมือก
เหนียว ๆ ใต้ผิวสีเข้มมีน้ำยางสีเหลือง ดอกออกเป็นช่อออกจากกลางต้น ดอกย่อยเป็นหลอด
ห้อยลง มีสีส้ม หรือสีแดงอมส้ม บานจากส่วนล่างขึ้นบน ผลเป็นผลแห้งแตกได้
ประโยชน์ทางยา
ส่วนที่นำมาใช้ประโยชน์: วุ้นในใบ ยางสีเหลืองจากใบ
- วุ้นสดในใบหรือเมือกจากใบ ใช้ทารักษาแผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก แผลไหม้เกรียมจากแสงแดด และแผลไฟไหม้ที่เกิดจากการฉายรังสี
- วุ้นในใบ ใช้รักษาแผลในกระเพาะอาหาร
- วุ้นในใบ มีฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบ เช่น โรคเหงือกอักเสบ
- วุ้นในใบ ใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องสำอางค์หลายชนิด เช่น ครีมบำรุงผิว แชมพู ครีมนวดผม โฟมล้างหน้า เพื่อบำรุงให้ผิวนุ่ม ไม่หยาบกร้าน
- ยางสีเหลืองบริเวณเปลือกใบ ใช้ในการเตรียมยาดำ ซึ่งใช้เป็นยาระบาย ยาถ่าย
- เลือกใช้ใบล่างสุดของต้น ล้างให้สะอาด ปอกเปลือกสีเขียวออก แล้วล้างน้ำยางสีเหลืองออกให้หมดก่อน แล้วจึงขูดเอาวุ้นใส หรือฝานเป็นแผ่นบาง ๆ มาพอกปิดบริเวณแผล พันด้วยผ้าพันแผลที่สะอาด จะทำให้รู้สึกเย็น หายปวดแสบปวดร้อน เปลี่ยนวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น จนกว่าแผลจะหาย
- สาร Aloe inn ซึ่งเป็นสารสำคัญจากยางของว่านหางจระเข้ สามารถดูดแสงอัลตร้าไวโอเลตไว้ได้ จึงใช้น้ำยางผสมในครีมกันแดด เพื่อป้องกันไม่ให้ผิวหนังไหม้
- ตัดใบตรงโคนที่ติดกับลำต้น นำมาผูกห้อยทิ้งไว้ เพื่อให้ยางสีเหลืองไหลลงบนภาชนะที่รองรับ แล้วนำไปเคี่ยวให้ข้น ตั้งทิ้งไว้ให้เย็น จะเกาะเป็นก้อนแข็งสีดำ จึงเรียกว่ายาดำ
- การใช้ว่านหางจระเข้เป็นเวลานาน ๆ ติดต่อกัน ทั้งโดยการรับประทาน หรือการใช้ภายนอก อาจเกิดอาการแพ้เป็นผื่นคันได้ จึงไม่ควรใช้ติดต่อกันนาน ๆ
- การนำเมือกหรือวุ้นจากใบมาใช้ต้องระมัดระวังไม่ให้ยางปนมาด้วยเพราะอาจทำให้เกิดการระคายเคืองได้
- วุ้นจากว่านหางจระเข้เป็นสารที่ไม่คงตัวสลายได้ง่ายและรวดเร็ว จึงควรใช้สด ๆ หรือแช่ไว้ในตู้เย็น และควรจะเก็บเป็นใบไม่ควรขูดวุ้นออกมาเก็บไว้
.jpg&container=blogger&gadget=a&rewriteMime=image%2F*)
.jpg&container=blogger&gadget=a&rewriteMime=image%2F*)
.jpg&container=blogger&gadget=a&rewriteMime=image%2F*)
พืชชนิดที่ 3 คอสเมติคจากธรรมชาติ
บานเย็นชื่อพื้นเมือง: จันยาม จำยาม ตามยาม (ภาคเหนือ)
ชื่อสามัญ: Marvel of Peru, Four o'clock
ชื่อวิทยาศาสตร์: Mirabilis jalapa L.
วงศ์: NYCTAGINACEAE
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์:
ไม้เนื้ออ่อน อายุหลายปี สูง 0.5-1.5 เมตร มีหัวใต้ดิน แตกกิ่งก้านจำนวนมาก ทรงพุ่มแผ่กว้าง
- ใบเรียงตรงข้ามสลับตั้งฉาก ใบเดี่ยว รูปหัวใจ กว้าง 2-5 ซม. ยาว 5-15 ซม. โคนใบตัดตรง
กว้างกลม ปลายใบแหลม ขอบใบเรียบ - ดอก ดอกช่อออกที่ปลายกิ่ง มีดอกย่อย 4-5 ดอก แต่ละดอกมีริ้วประดับยาว 1 ซม. มีโคนเชื่อมติดกัน กลีบดอกรูปกรวย ยาว 3-5 ซม.ปลายแยกเป็น 5 กลีบ เมื่อดอกบานเส้นผ่านศูนย์กลาง 3-5 ซม. มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ดอกบานในตอนเย็น กลีบดอกมีหลายสี เช่น ขาว เหลือง ชมพู บานเย็น หรือมีสองสีในดอกเดียวกัน
- ผลรูปทรงกลม ผิวขรุขระหยาบๆ สีดำ มี 1 เมล็ด
- ใช้แป้งในเมล็ดดอกบานเย็นเป็นเครื่องสำอาง บำรุงผิว แก้สิว ฝ้า
- ใช้ผงจากรากผสมกับแป้งข้าวเจ้า และผงไม้จันทน์ มาทำเป็นเครื่องสำอาง
- ดอกนั้นมีกลิ่นฉุน สามารถใช้ไล่ยุง และแมลง
- แกะเปลือกดำของเมล็ดออกไป เอาแต่ผงแป้งขาวข้างในเท่านั้น บดขยี้เบา ๆ ก็จะแตกเป็นผงละเอียดใส่ตลับไว้ใช้สำหรับทาหน้า หรือจะผสมน้ำสะอาดนิดหน่อยก็ได้
.jpg&container=blogger&gadget=a&rewriteMime=image%2F*)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น